🏢 ฟิล์มกรองแสงคืออะไร?
ฟิล์มกรองแสงลดความร้อน ผลิตจากพลาสติกโพลีเอสเตอร์ที่มีคุณสมบัติเหนียว ใส เรียบ ยืดหยุ่นน้อย ไม่ดูดซับความชื้น มีความทนทานต่อสภาพอากาศทั้งสูงและต่ำได้เป็นอย่างดี ในเนื้อฟิล์มกรองแสง จะมีวัสดุที่ใช้เพื่อป้องกันความร้อนและรังสียูวี โดยใช้เทคโนโลยี ในการผลิตเป็นชิ้นๆ ผสานด้วยกาวพิเศษเพื่อการยึดเกาะได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าว จึงเหมาะที่จะนำไปเป็น ฟิล์มอาคาร ฟิล์มคอนโด ฟิล์มโรงแรม ฟิล์มรีสอร์ท ฟิล์มสำนักงาน ฟิล์มที่พักอาศัยและฟิล์มติดกระจกในสถานที่ต่างๆ
การลดรังสียูวี (UV Rejection) โดยปกติฟิล์มทุกชนิดจะสามารถป้องกัน UV ได้เท่ากันคือ 99%
หลายๆ คนยังเข้าใจผิดๆว่า ฟิล์มที่มีสีเข้มหรือทึบ ช่วยลดความร้อนได้ดี ในความจริงแล้ว สีหรือความทึบของฟิล์มกรองแสงไม่ได้เป็นตัวช่วยลดความร้อน แต่กลับเป็นสารเคลือบตัวอื่นๆ ที่ทำหน้าที่หลักนี้ต่างหาก
ส่วนประกอบของความร้อนที่เราได้รับนั้นมีสัดส่วนและแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
ความสว่างของแสงมีสัดส่วน 44%
รังสีอินฟาเรด (รังสีใต้แดด) มีอยู่ 53%
รังสียูวี (รังสีเหนือม่วง,รังสีอุลตร้าไวโอเลต) มีอยู่ 3%
ดังนั้นฟิล์มกรองแสงที่สามารถลดความร้อนได้ดีควรจะลดรังสีทั้ง 3 ส่วนได้มากๆ
🏢 ประเภทของฟิล์มกรองแสง
ฟิล์มกรองแสงแต่ละชนิดเป็นเทคนิคในการผลิตซึ่งแต่ละ ชนิดจะมีคุณสมบัติทางด้านอายุการใช้งานและราคาที่แตกต่างกัน แต่ในส่วนคุณสมบัติอื่น เช่น การลดความร้อนไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก
1. ฟิล์มใสกันร้อน
ฟิล์มใสกันความร้อน จะมีคุณสมบัติในการกันรังสีความร้อน หรือรังสีอินฟราเรด (IR) ได้ดีมากกว่าฟิล์มดำธรรมดา และไม่ทำลายทัศนียภาพ โดยฟิล์มกรองแสงแบบใสจะยอมให้แสง (VLT) ผ่านมากกว่า 70% ทำให้ยังคงมองเห็นวิวด้านนอกชัดเจน ด้วยเทคโนโลยี Sputtering ซึ่งเป็นกรรมวิธีการผลิตที่ค่อนข้างซับซ้อน ทำให้ฟิล์มชนิดนี้ราคาค่อนข้างสูงเล็กน้อย แต่ข้อดีนั้นมีมาก เพราะฟิล์มชนิดนี้เหมาะกับคนที่อยู่คอนโดสูง ต้องการชมวิว หรือทำร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ ก็ควรเลือกฟิล์มติดกระจกชนิดนี้เช่นกัน
2. ฟิล์มดำ
ฟิล์มดำเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับชาวหอ ชาวคอนโด ที่มีกฎห้ามติดฟิล์มที่มีอัตราการสะท้อนแสงสูงอย่างฟิล์มปรอท ซึ่งฟิล์มดำนี้มีความสามารถในการกันแสง กันความร้อนได้ดีระดับหนึ่ง ลดแสงจ้าได้ดีมาก อีกทั้งยังให้ความเป็นส่วนตัวได้ดีมาก ๆ ป้องกันการมองเห็นจากภายนอกได้ค่อนข้างดี แต่เรายังคงมองออกไปเห็นข้างนอกได้ค่อนข้างชัดเจน สามารถเลือกความเข้มได้ ราคาไม่สูงมาก
3. ฟิล์มปรอท
ฟิล์มชนิดนี้มีความแตกต่างจากฟิล์มชนิดอื่น ๆ ตรงที่มีความสะท้อนแสง (VLR)ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีส่วนผสมของโลหะหลากหลายชนิด เช่น ไทเทเนียม, อะลูมิเนียม, เงิน (ไม่มีส่วนผสมของปรอทที่เป็นอันตราย) สำหรับท่านที่กังวลว่าความสะท้อนแสงอาจไปรบกวนเพื่อนบ้านหรือผู้อาศัยบริเวณใกล้เคียงก็สามารถเลือกระดับความสะท้อนแสงที่น้อยลงมาได้ ซึ่งข้อเสียของฟิล์มปรอทคืออาจจะมีการรบกวนสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ได้
4. ฟิล์มนาโนเซรามิค
ฟิล์มประเภทนี้ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานในปัจจุบันอย่างมาก เนื่องจากสามารถกันความร้อนได้ดี แต่มีอัตราการสะท้อนแสงน้อย
เหมาะสำหรับคอนโดที่มีการจำกัดค่าสะท้อนแสงของฟิล์ม ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฟิล์มติดกระจกบ้าน ข้างนอกมองไม่เห็นแต่คนด้านในสามารถมองออกไปเห็นชัด ใส ไม่เสียบรรยากาศการชมวิวเลย อนุภาคเซรามิคที่นิยมใช้ในฟิล์มกรองแสงปัจจุบัน จะมีอนุภาคตัวที่นิยมใช้ในการเคลือบฟิล์มกรองแสง มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่
ITO (Indium Tin Oxide)
ATO (Antimony Tin Oxide)
TiN (Titanium Nitride)
ซึ่งราคาและความคมชัดของอนุภาคเซรามิคทั้ง 3 ชนิด ต่างกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ ฟิล์มเซรามิคมีหลากหลายเกรด ราคาถูกแพงต่างกันนั่นเอง ไม่ใช่ว่าขึ้นชื่อว่าฟิล์ม Ceramic แล้วคุณภาพจะเหมือนกันหมด
5. ฟิล์ม Sputtering
ฟิล์มสปัตเตอร์คุณสมบัติเหมือนฟิล์มเซรามิคแต่แตกต่างกันที่วิธีการผลิต การเคลือบสปัตเตอริง การเคลือบวิธีนี้มีความซับซ้อนกว่าการเคลือบในสุญญากาศ โดยห้องเคลือบระบบปิดจะถูกทำให้เกิดสภาพสุญญากาศก่อน และบรรจุก๊าซเฉื่อย เช่น ก๊าซอาร์กอน (Argon) เข้าไปแทนที่ กระบวนการเคลือบสปัตเตอริง เป็นการระดมยิงโลหะที่ใช้เคลือบด้วยประจุบวกที่ มีความเร็วสูง เพื่อให้อะตอมของโลหะหลุดออกไปติดที่ผิวแผ่นฟิล์ม จุดเด่นของวิธีนี้คือ ชั้นโลหะบนฟิล์มพลาสติกจะบางกว่า และอนุภาคโลหะที่ติดบนแผ่นฟิล์มก็มีขนาด เล็กกว่า ดังนั้นฟิล์มกรองแสงที่ผลิตด้วยวิธีนี้จะมีลักษณะแวววาวน้อยกว่า แต่จุดด้อยของการเคลือบวิธีนี้คือ มันมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า และต้องใช้ระยะเวลาในกระบวนการเคลือบนานกว่า จุดเด่นของฟิล์มแบบนี้คือ มีอายุการใช้งานนานกว่าฟิล์มกรองแสงธรรมดา และจุดเด่นอีกอย่างคือสะท้อนความร้อนออกจากกระจก ไม่อมความร้อนเหมือนฟิล์มเซรามิคทั่วไป
5. ฟิล์มนิรภัย
ฟิล์มชนิดนี้ที่มีความเหนียวมากกว่าฟิล์มแบบทั่วไปถึง 3-5 เท่า สามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้ เช่น กรณีที่กระจกแตกฟิล์มที่มีความเหนียวจะช่วยไม่ให้กระจกหล่นกระจายสร้างความอันตรายได้ รวมไปถึงยืดเวลาในการทุบกระจกเข้ามาของอาชญากรได้ ขอแนะนำติดฟิล์มนิรภัยจะช่วยได้มาก นอกจากจะช่วยป้องกันอันตรายแล้วฟิล์มประเภทนี้ยังมีคุณสมบัติในการกันความร้อนและช่วยสะท้อนรังสี UV ได้ดีอีกด้วย
🏢 ประโยชน์ของการติดฟิล์มกรองแสงลดความร้อน
ฟิล์มกรองแสง
1. ลดแสงจ้า ลดความร้อน และป้องกันรังสียูวี
การติดฟิล์มกรองแสงนั้น สามารถลดความร้อนจากแสงแดดไม่ให้ผ่านเข้ามาภายในตัวอาคารได้ และป้องกันรังสียูวี ที่จะเป็นอันตรายต่อผิวและดวงตา ปกป้องเฟอร์นิเจอร์ไม่ให้ขีดจางจากรังสียูวี สร้างบรรยากาศเย็นสบายและป้องกันผิวหมองคล้ำและการเกิดฝ้าริ้วรอย
2. ลดภาระค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า เมื่อเราติดฟิล์มกระจกของตัวอาคารแล้ว การป้องกันไม่ให้ความร้อนผ่านเข้าไปนั้น ช่วยให้เครื่องปรับอากาศไม่ทำงานหนัก เพราะอุณหภูมิที่ลดลงจากการติดฟิล์มกันร้อนนั้น ทำให้ระบบปรับอากาศกินไฟน้อยลง สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าที่เกิดจากระบบปรับอากาศได้ 10-15%
3. สร้างความโดดเด่นทันสมัยให้แก่อาคารที่ติดฟิล์ม อาคารที่ติดฟิล์มกรองแสง จะมีความสวยงามโดดเด่นขึ้นมาจากเงางามของฟิล์มกรองแสงชนิดต่างๆ ซึ่งท่านสามารถเลือกสีของฟิล์ม เพื่อให้เหมาะกับอาคารหรือองค์กรของท่าน
4. สร้างความเป็นส่วนตัว โดยไม่บดบังทัศนียภาพ
5 .ช่วยลดอันตรายจากการแตกกระจายของกระจก
ฟิล์มนิรภัย
1. ป้องกันการแตกกระจายของกระจก ยึดกระจกไม่ให้แตกร้าว ลดอุบัติเหตุที่เกิดจากการบาดของกระจกที่แตก
2. ช่วยลดระยะเวลาในการทุบทำลายเมื่อถูกกระแทกด้วยของแข็ง โดยระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับความหนาของฟิล์มนิรภัย (มิล)
ฟิล์มตกแต่ง
1. เพิ่มความสวยงามให้กระจก
2. สร้างความเป็นส่วนตัว เป็นสัดส่วน
3. ลดแสงรบกวนจากภายนอก
ฟิล์มรถยนต์
1. ลดความร้อนจากแสงแดด
2. ช่วยลดแสงจ้า ในภาวะที่แดดจัดๆ ถนอมสายตา
3. ป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลตจากแสงแดด ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผิวเป็นฝ้า ตกกระ
4. ช่วยชลอการซีดจางและเสื่อมสภาพของวัสดุอุปกรณ์ตกแต่งภายในรถยนต์
5. ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศ เพราะทำให้แอร์ทำงานน้อยลง ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกทางหนึ่งด้วย
6. ช่วยลดอันตรายจากการแตกกระจายของกระจกรถยนต์ในเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ
🏢 จะติดฟิล์มอาคารกรองแสงหรือ ติดม่านดี ?
การติดม่านกันแดด นั้นสามารถเพิ่มความสวยงาม ความเป็นส่วนตัวให้แก่ห้องของท่านได้ เพราะท่านสามารถเลือกเปิดหรือปิดได้ว่าจะให้แสงเข้ามากน้อยเพียงใด และ สามารถลดความร้อนจากแสงแดดได้บางส่วน แต่ม่านกันแดดโดยทั่วไปแล้ว จะไม่สามารถกันรังสีอินฟราเรดหรือรังสีความร้อนที่เกิดจากดวงอาทิตย์ได้ เพราะฉะนั้นการติดฟิล์มกรองแสง จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการลดความร้อนและลดแสงจ้าภายในห้องได้
หลายๆ คนที่ไม่ชอบการติดฟิล์มอาคาร ด้วยความเข้าใจที่ว่าฟิล์มกรองแสงจะบดบังทัศนะวิสัย มืด หรือสะท้อนแสงมากเกินไป แต่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตฟิล์มสมัยใหม่ ทำให้ฟิล์มมีความหลากหลาย มีทุกแบบทุกประเภทให้ทุกท่านได้เลือกให้ตรงกับความต้องการท่าน
ฟิล์มกรองแสงบางประเภทจะมีความใส แต่สามารถกันความร้อนได้ดีมาก ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่คิดจะติดฟิล์มลดความร้อน แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด การติดทั้งรับติดฟิล์มอาคารกรองแสง และติดทั้งม่านกันแดด จะสามารถกันร้อนและกันแสงได้ดีที่สุด
🏢 วิธีดูแลหลังติดฟิล์มอาคาร
ฟิล์มแต่ละประเภทแต่ละยี่ห้อ จะมีระยะเวลาการรับประกันต่างกัน ตั้งแต่รับประกัน 7ปี / 8ปี / 12 ปี / 15 ปี หากดูแลไม่ถูกวิธีก็อาจจะทำให้อายุการรับประกันฟิล์มติดอาคารหรือฟิล์มติดรถ มีคุณภาพลดลงได้
โดยปกติแล้วเวลาติดตั้งฟิล์มอาคาร หรือรถยนต์นั้นจะมีการใช้น้ำยาติดตั้ง ฉีดลงไปบนกระจกที่ติดตั้งพร้อมกับบนกาวของแผ่นฟิล์ม เพื่อให้สามารถเลื่อนขยับฟิล์มกรองแสงได้ตามความต้องการ เสร็จแล้วจึงรีดออกด้วยเครื่องมือรีดน้ำยาแบบต่างๆ อาจจะทำให้เกิดน้ำขังอยู่ระหว่างแผ่นฟิล์มกับกระจกได้ ทำให้มองดูไม่ชัดเจน ถือเป็นเรื่องปกติ อาการเหล่านี้จะหายไปเอง ภายในเวลา 1-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความหนาของฟิล์ม และสภาพอากาศ
ซึ่งในช่วงยะระเวลาระหว่าง 1-4 สัปดาห์นี้ ไม่แนะนำให้ใช้ผ้าเช็ดลงบนแผ่นฟิล์ม หรือมีการขยับกระจก เพราะอาจจะทำให้ฟิล์มอาคารเลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมได้ หากมีปัญหาอื่นใด เช่น มีฟองอากาศ หรือ ฟิล์มอ้า ให้รีบติดต่อศูนย์บริการภายในระยะเวลารับประกัน
เมื่อฟิล์มอาคารแห้งสนิทและกาวยึดติดกระจกแล้ว มีข้อควรระวังดังนี้
1. ห้ามใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ , ผ้าหยาบ , ขนแปรง , สก็อตซ์ไบรต์ หรือวัสดุอื่นๆ เช็ดลงบนเนื้อฟิล์มกรองแสง โดยปกติตัวเนื้อฟิล์มจะถูกเคลือบด้วยสารกันรอยขีดข่วนอยู่แล้ว เนื้อวัสดุที่หยาบอาจจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ฟิล์มกรองแสงได้
2. แนะนำให้เช็ดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำ เช็ดเบาๆลงบนแผ่นฟิล์มก่อนเช็ดทำความสะอาด ควรตรวจสอบเสมอว่าในผ้าหรือทิชชูใดๆที่ใช้ ไม่มีผงฝุ่นหรือเม็ดทรายในผ้า
3. ห้ามเช็ดล้างด้วยน้ำยาล้างกระจกที่มีส่วนผสมของสารแอมโมเนีย เช็ดทำความสะอาดฟิล์มโดยเด็ดขาด น้ำยาแอมโมเนียจะทำให้ฟิล์มแข็งกระด้าง และลดอายุการ
🏢 กฎหมายเกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง
ติดฟิล์มรถยนต์เข้มเกิน 40% ผิดหรือไม่?
เริ่มตั้งแต่ปี 2538 เนื่องจากมีความกังวลว่าความเข้มของฟิล์มจะมีส่วนในเรื่องของอาชญากรรมและความปลอดภัยในการขับขี่ก็เลยมีกฎกระทรวง ฉบับที่ 23 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนตร์ พ.ศ. 2522 โดยมีเนื้อหาสำคัญว่าห้ามติดฟิล์มที่มีแสงส่องผ่านน้อยกว่า 40% และห้ามติดฟิล์มเกินพื้นที่ 25% ของกระจกบังลมหน้า แต่รัฐบาลยังให้ผ่อนผันและปรับตัวไปอีก 3 ปีก็คือเริ่มบังคับใช้วันที่ 1 มิถุนายน 2541
พอเวลาผ่านไปเรื่องการบังคับใช้ก็ยังคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ไม่ว่าข้อจำกัดในเรื่องของอุปกรณ์วัดค่าและอื่นๆ ก็เลยมีกฎกระทรวง ฉบับที่ 32 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนตร์ พ.ศ. 2522 อีก โดยมีเนื้อหาสำคัญคือเลื่อนวันบังคับใช้ไปเป็น 1 มิถุนายน 2543 แทน
เมื่อถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2543 ทางรัฐบาลก็เริ่มเอาจริงโดยมติคณะรัฐมนตรีให้เริ่มบังคับใช้แต่ให้เวลา 1 ปีในการทำความเข้าใจและประชาชนและผู้ประกอบการปรับตัว สรุปเริ่มจริงๆ 1 มิถุนายน 2544
แต่การปฎิบัตินั้นไม่ได้ง่ายบวกกับบ้านเราก็เป็นเมืองร้อน จะไปทำแบบฝรั่งก็ไม่ได้ ดังนั้นในวันที่ 1 พฤษาภาคม 2544 ทางคณะรัฐมนตรีก็เลยอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ คือยกเลิกกฎกระทรวงเกี่ยวกับฟิล์มกรองแสงครับด้วยเหตุผลต่างๆเช่น เรื่องของความไม่พร้อมของอุปกรณ์ตรวจวัด เรื่องความไม่พร้อมของสถานตรวจสภาพรถ เรื่องค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากเปลี่ยนฟิล์มและที่สำคัญยังไม่มีการศึกษาเพียงพอว่าความเข้มของฟิล์มมันมีผลต่ออาชญากรรมและอุบัติเหตุมากน้อยแค่ไหน
และในวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ก็ได้ออกมาเป็นกฎกระทรวง ฉบับที่ 38 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนตร์ พ.ศ. 2522 ที่ได้ยกเลิกเรื่องเกี่ยวกับข้อกำหนดความเข้มของฟิล์มกรองแสงและพื้นที่ของกระจกบังลมหน้าที่ห้ามติดฟิล์มสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล
สรุปคือติดฟิล์มดำไม่ผิด
แต่อย่างไรก็ตามการติดฟิล์มกรองแสงที่ฉาบปรอทนั้น มีความผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ ฯ
ดังนี้ ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 12 รถใดที่จดทะเบียนแล้ว หากปรากฏในภายหลังว่า รถนั้นมีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์สำหรับรถไม่ครบถ้วนถูกต้องตามที่กำหนดในกระทรวง หรือเพิ่มเติมสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย หรือจิตใจของผู้อื่นห้ามมิให้ผู้นั้นใช้รถจนกว่าจะจัดให้มีถูกต้องครบถ้วนหรือเอาออก มาตรา 60 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มาตรา 12 วรรคหนึ่ง ... ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
👍 มาตรฐานฟิล์มประหยัดพลังงานเบอร์ 5
ฟิล์มกรองแสงที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฟิล์มประหยัดพลังงานเบอร์ 5 ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ในการทดสอบฟิล์มกรองแสงในประเทศไทย โดยศูนย์วิจัยและปฏิบัติการทดสอบพลังงาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยการติดฉลาก ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
สำหรับเกณฑ์ในการคัดเลือกฟิล์มอาคารที่จะได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็คือ เกณฑ์การวัดค่าสัมประสิทธิ์การส่งผ่านความร้อนจากแสงอาทิตย์ หรือ SHGC (Solar Heat Gain Coefficient) ที่ต้องมีค่าต่ำกว่า หรือเท่ากับ 0.45